ต้องการเปิดบัญชีเพื่อซื้อ-ขาย หลักทรัพย์
กรุณาติดต่อ คุณเพทาย ฤดีเมธาสิทธิ์(นัม)
Tel: 02-200-2459 , 02-200-2460
Mobile: 084-375-2518
E-mail: Stock-Trading-Investing-Numb@hotmail.com
set50bigcap@hotmail.com

ยินดีให้คำปรึกษา พื้นฐานการลงทุน ซื้อ-ขายหุ้น Add มานะค่ะ ^^

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
*เนื้อหาและบทความในบล็อกนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจด้วยตัวท่านเอง


ตรวจสอบรายชื่อผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนที่ได้รับความเห็นชอบ
http://capital.sec.or.th/webapp/th/infocenter/intermed/seclicense/Copy_lap_findsl_listcomp.php?ref_id=225

วันศุกร์, กรกฎาคม 30, 2553

Elliott Wave Theory



Wave 1: การก่อตัวของคลื่นเป็นรูปแบบการปูพื้นฐาน เกิดการรวมตัวกันอย่างหนาแน่นของระลอกคลื่น
Wave 2: เป็นระลอกคลื่นที่ปรับตัวถอยกลับจาก Wave 1 ค่อนข้างรุนแรง บางครั้งทำลายความเชื่อมั่นในตลาดจนเกือบหมดสิ้น ราคาหุ้นจะถดถอยลงไปเกือบอยู่ในราคาเดิม เนื่องจากนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นในตลาด มีความรู้สึกว่าราคาหุ้นที่ขยับขึ้นมาก่อนหน้านั้นเป็นเพียงการ Rebound สั้นๆ
Wave 3: เป็นระลอกคลื่นที่สำคัญที่สุด ความเชื่อมั่นในตลาดเริ่มกลับคืนมา ราคาและปริมาณหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ราคาขับเคลื่อนไปอย่างรุนแรง จนสามารถ Break out ผ่านจุดสูงสุดเดิมของ Wave 2 ไปได้ แรงส่งที่เกิดจากความเชื่อมั่นของตลาดนี้ ทำให้ระลอกคลื่น"ยืด" ตัวออก จนเกิดการเพิ่มขึ้น หรือการก่อตัวใหม่ของระลอกคลื่นลูกเล็กๆ(Extended wave) จุดสังเกตคือ Wave 3 นี้ ราคาหุ้นทุกตัวจะปรับฐานสูงขึ้น
Wave 4: เป็นการปรับตัวลงที่ซับซ้อน(Complex) ยิ่งขึ้น การปรับตัวลงของระลอกคลื่นนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการสร้างฐานให้แก่ระลอกคลื่นสุดท้าย คือ Wave 5 การปรับตัวลงของ Wave 4 จะเป็นตัวชี้ต่อไปถึงลักษณะของ Wave 5 ที่กำลังจะตามมาว่า จะมีลักษณะมั่นคงแข็งแรงหรืออ่อนแอมากน้อยเพียงใด
Wave 5: โดยทั่วไปแล้วนักวิเคราะห์มักจะมองว่าคลื่นลูกที่ 5 หรือคลื่นสุดท้ายนี้จะมีลักษณะเป็นการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง (Blowoff) โดยใช้หลักการว่า เนื่องจากเป็นคลื่นลูกสูดท้ายที่นักลงทุนเชื่อมั่นในตลาดอย่างสูงสุด ลักษณะความแข็งแกร่งของตลาดจะสังเกตได้จากการปรับราคาขึ้นของหุ้นเก็งกำไร นักลงทุนจะรู้ว่าระลอกคลื่นที่กำลังอยู่นี้เป็นระลอกคลื่นสุดท้ายหรือไม่ ให้ดูจากหุ้นเป็นตัวนำตลาดในขณะนั้นว่าเป็นชนิดใด ถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไรเป็นส่วนใหญ่ ก็สามารถสรุปได้เลยว่า คลื่นลูดสุดท้ายได้มาถึงแล้ว
Wave A: เป็นระลอกคลื่นลง Wave แรก ในตลาดแนวโน้มขาลง (Bear Market) ส่วนใหญ่นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นในตลาด และคิดว่าการปรับตัวนี้เป็นการเตรียมานสำหรับการรวมตัวทีี่จะขึ้นไปใหม่ นักลงทุนส่วนมากจะเข้ารับซื้อหุ้นในราคาปรับตัวนี้ แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณบ้างแล้วว่า ราคาหุ้นบางตัวมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากแนวโน้มสำคัญ การปรับตัวของ Wave นี้ จะบอกถึงทิศทางแลกลักษณะของ Wave B ที่กำลังจะก่อตัวขึ้น
Wave B: การขึ้นของราคาหุ้นใน Wave นี้ จะเป็นลักษณะ "หลอก" แม้กระนั้นก็ทำให้นักลงทุนหลายคนหลงผิดเขามาซื้อหุ้นในระดับราคานี้เป็นส่วนใหญ่ ราคาหุ้นที่ขึ้นใน Wave B นี้ จึงเกิดจากการใช้อารมณืมากหว่าเหตุผล แรงผลักดันจึงขาดปัจจัยพื้นฐาน และไม่มีกำลังเพียงพอที่จะหยุดยิ้งการโต้กลับของระลอกคลื่นลูกต่อมา
Wave C: เป็นระลอกคลื่นที่มีการปรับตัวอย่างรุนแรง ความเชื่อมั่นในตลาดที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวของนักลงทุนหมดสิ้นลงทันที และอย่างรวดเร็ว

สรุป Elliott Wave
Up trend : มี 5 คลื่น
Down trend: มี 3 คลื่น

ขาขึ้น:
Wave 1: คือ การสร้างฐาน นักลงทุนยยังไม่มั่นใจ
Wave 2: คือ การปรับฐาน เพราะความไม่มั่นใจ (ราคาอาจถดถอยไปเกือบถึงฐานของ Wave 1)
Wave 3: คือ ความมั่นใจ ราคาขึ้นเพราะปัจจัยพื้นฐานดี (สำคัญ เพราะราคาจะวิ่งขึ้นแรง)
Wave 4: คือ การปรับฐาน แต่ยังมั่นใจอยู่
Wave 5: คือ ความโลภ (หุ้นเก็งกำไรครองตลาด)

ขาลง
Wave A: คือ นักลงทุนยังมีความมั่นใจแต่ราคาหุ้นเริ่มเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงแล้ว
Wave B: คือ คลื่นหลอก ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ขาดปัจจัยพื้นฐาน
Wave C: คือ ความตื่นตระหนก และความกลัว

Reference: หนังสือ วิเคราะห์หุ้น ของ คุณ เอก พิทยา เอี่ยมคงเอก