ต้องการเปิดบัญชีเพื่อซื้อ-ขาย หลักทรัพย์
กรุณาติดต่อ คุณเพทาย ฤดีเมธาสิทธิ์(นัม)
Tel: 02-200-2459 , 02-200-2460
Mobile: 084-375-2518
E-mail: Stock-Trading-Investing-Numb@hotmail.com
set50bigcap@hotmail.com

ยินดีให้คำปรึกษา พื้นฐานการลงทุน ซื้อ-ขายหุ้น Add มานะค่ะ ^^

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
*เนื้อหาและบทความในบล็อกนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจด้วยตัวท่านเอง


ตรวจสอบรายชื่อผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนที่ได้รับความเห็นชอบ
http://capital.sec.or.th/webapp/th/infocenter/intermed/seclicense/Copy_lap_findsl_listcomp.php?ref_id=225

วันอาทิตย์, กันยายน 12, 2553

My Investments strategy.











1. วิเคราะห์เศรษฐกิจมหาภาค และจุลภาค เพื่อให้เราเข้าใจและรับรู้ว่า ตอนนี้เราอยู่ช่วงใดของ วงจรเศรษฐกิจ
2. วิเคราะห์กลุ่มเศรษฐกิจว่า ณ ที่เรายืนอยู่ทุกวันนี้เป็นผลดีต่อกลุ่มเศรษฐกิจใด และถัดจากนี้ จะเป็นผลดีต่อเศรษกิจกลุ่มใด
3. คัดเลือกตัวที่ แข็งแกร่งที่สุด แนวโน้มอนาคตดูสดใสเป็นผลดีที่สุด ราคาไม่แพง(ถ้าเจอตัวที่ราคาถูกที่สุด แต่แนวโน้มดีที่สุดก็จะดีมาก แต่โอกาสเจอมีไม่บ่อยนัก) และคิดในกลับกันในทางตรงกันข้ามด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงตัวอันตราย
4. คัดเลือกหุ้นตัวโปรดด้วยปัจจัยทางพื้นฐาน และเลือกจังหวะในการเข้า-ออก ซื้อขายหุ้น ด้วยกราฟทางเทคนิค อย่าซื้อ – ขาย หุ้น ด้วยอารมณ์ ความกลัว และความโลภโดยเด็ดขาด
5. เมื่อทำการบ้านมาอย่างดีแล้ว ก็จงทำตามระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดที่ได้วางกลยุทธ์ไว้ อย่าหวั่นไหวและมีอารมณ์กับราคาตลาดรายวัน รายสัปดาห์ หรือ แม้แต่ ต่ำกว่าราย 3 เดือน เพราะหากเมื่อเราใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ มักจะทำให้ผิดแผนการที่เคยวางไว้ และเกิดความผิดพลาดในที่สุด คือ “ขายหมู” หรือ "ตกรถ" หรือ "ติดดอย" นั่นเอง
5.มีความสุขกับการลงทุน ไม่ว่าพอร์ตจเขียวหรือแดงก็ยิ้มได้เสมอ คิดซะว่าเราทำการบ้านมาดีแล้ว ดังนั้น ถึงวันนี้พอร์ตอาจจะติดลบ แต่ในวันหน้า พอร์ตเรา ก็เขียวขจี + เงินปันผลที่ได้มาเสมอๆคะ

วันเสาร์, กันยายน 04, 2553

7 deadly sins




1.luxuria (Lust,extravagance) ราคะ การคิดในทางเสื่อม ความต้องการเป็นที่สนใจจากผู้อื่น ความต้องการความเร้าใจ หมกมุ่นทางเพศที่มากจนเกินไปหรือที่ผิดมนุษย์ปกติ ความใคร่ที่เกิดขึ้นในทางทุจริต เช่นการมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์กับพ่อแม่หรือลูกหลานตัวเอง การข่มขืน การมีชู้
2.gula (gluttony) ตะกละ การสนองความต้องการโดยไม่ยั้งคิด มุ่งร้ายเอาของคนอื่น บริโภคสิ่งต่าง ๆ จนขาดการไตร่ตรอง บริโภคจนมากเกินไป มากจนเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหาร รวมถึงการบริโภคสิ่ง ๆ ต่าง ๆโดยไม่คำนึงสนใจหรือเห็นใจคนอื่น
3.avaritia (avarice,greed) โลภ ความทะเยอทะยานอันแรงกล้าในการให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินและอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงแนวทางหรือคุณธรรมในการได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการขโมย การขู่กรรโชกทรัพย์ ยักยอก การกักเก็บทรัพย์สินต่างๆ โดยไม่แบ่งปันหรือช่วยเหลือผู้อื่น ต่อมาโลภรวมถึง การหาทรัพย์อย่างทุจริตมาใช้เพื่อประโยชน์ทางศาสนาด้วย ถือเป็นการมุ่งร้ายต่อศาสนาและเป็นการหักหลังต่อผู้นับถือคริสต์ศาสนาอีก ด้วย
4.acedia (Sloth,Laziness,acedia,discouragement) เกียจคร้าน ความไม่สนใจใยดีต่อการเปลี่ยนแปลง ต่อสิ่งรอบข้าง ใช้เวลาอย่างไร้ค่า ความไม่ต้องการที่จะทำอะไร โดยปล่อยให้ผู้อื่นเป็นผู้ทำงานหนักเพื่อตนเองเท่านั้น การปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละเลยที่จะทำดีรวมถึงการละเลยที่จะเคารพต่อพระเจ้าด้วย ผู้ที่เกียจคร้านจะอยู่เฉย ๆ รักษาสภาพความเป็นอยู่ของตนเองในภาวะเดิมตลอดเวลา ไม่ทำอะไรมาก แต่ก็ไม่ใช้อะไรมากเช่นกัน
5.ira (wrath) โทสะ
ความโกรธเคืองและพยาบาทที่ขาดความเหมาะสม การทนรับสภาพในบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ การแสวงหาหนทางผิดกฎหมายบ้านเมือง ในศีลธรรมในการล้างแค้น การมุ่งร้ายที่จะทำสิ่งต่าง ๆ แก่บุคคลที่ตนไม่ชอบ รวมถึงการไม่ชอบบุคคลอื่นโดยไร้เหตุผล เช่น สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา นำไปสู่การฆ่าและฆาตกรรมผู้อื่น โมหะคือความโกรธที่ไม่ต้องการที่จะยกโทษ
6.invidia (envy) อิจฉา ความปรารถนาให้ผู้อื่นรับเคราะห์ การไม่ยอมรับผู้อื่นที่มีสิ่งต่างๆ ดีกว่าตนเอง ทั้งด้านทรัพย์สมบัติ ลักษณะรูปร่างนิสัย และ การประสบความสำเร็จ ความอิจฉานำไปสู่การรังเกียจตัวเอง ต้องการอยากเป็นผู้อื่น นำไปสู่การขโมยและทำลายผู้อื่น ความอิจฉาเป็นการพัฒนาต่อจากตะกละและโลภที่สุดขั้ว
7.superbia (Pride,Hubris) โอหัง ยะโสเป็นยอดแห่งบาปทั้งปวง ความหยิ่งยะโสคือต้องการเป็นผู้ที่มีความสำคัญและอำนาจเหนือผู้อื่น การที่รักตนเองมากจนเกินไป หลงในอำนาจและรูปลักษณ์ของตัวเอง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปรียบตนเองเทียบเท่ากับพระเจ้า) ซึ่งบาปประการนี้ทำให้ ลูซีเฟอร์ (ปีศาจประจำบาปนี้) ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ เนื่องจากลูซีเฟอร์เห็นว่าตนมีอำนาจเท่ากับพระเจ้าและสามารถสร้างพรรคพวกของ ตัวเองเพื่อต่อต้านและไม่เคารพพระเจ้า คนที่มีความหยิ่งยะโสจะสนใจเฉพาะตนเองเท่านั้น ไม่สนใจว่าผู้อื่นจะเป็นเช่นไร

แบบทดสอบ 7 Deadly Sins
http://www.4degreez.com/misc/seven_deadly_sins.html

วันศุกร์, กรกฎาคม 30, 2553

Elliott Wave Theory



Wave 1: การก่อตัวของคลื่นเป็นรูปแบบการปูพื้นฐาน เกิดการรวมตัวกันอย่างหนาแน่นของระลอกคลื่น
Wave 2: เป็นระลอกคลื่นที่ปรับตัวถอยกลับจาก Wave 1 ค่อนข้างรุนแรง บางครั้งทำลายความเชื่อมั่นในตลาดจนเกือบหมดสิ้น ราคาหุ้นจะถดถอยลงไปเกือบอยู่ในราคาเดิม เนื่องจากนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นในตลาด มีความรู้สึกว่าราคาหุ้นที่ขยับขึ้นมาก่อนหน้านั้นเป็นเพียงการ Rebound สั้นๆ
Wave 3: เป็นระลอกคลื่นที่สำคัญที่สุด ความเชื่อมั่นในตลาดเริ่มกลับคืนมา ราคาและปริมาณหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ราคาขับเคลื่อนไปอย่างรุนแรง จนสามารถ Break out ผ่านจุดสูงสุดเดิมของ Wave 2 ไปได้ แรงส่งที่เกิดจากความเชื่อมั่นของตลาดนี้ ทำให้ระลอกคลื่น"ยืด" ตัวออก จนเกิดการเพิ่มขึ้น หรือการก่อตัวใหม่ของระลอกคลื่นลูกเล็กๆ(Extended wave) จุดสังเกตคือ Wave 3 นี้ ราคาหุ้นทุกตัวจะปรับฐานสูงขึ้น
Wave 4: เป็นการปรับตัวลงที่ซับซ้อน(Complex) ยิ่งขึ้น การปรับตัวลงของระลอกคลื่นนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการสร้างฐานให้แก่ระลอกคลื่นสุดท้าย คือ Wave 5 การปรับตัวลงของ Wave 4 จะเป็นตัวชี้ต่อไปถึงลักษณะของ Wave 5 ที่กำลังจะตามมาว่า จะมีลักษณะมั่นคงแข็งแรงหรืออ่อนแอมากน้อยเพียงใด
Wave 5: โดยทั่วไปแล้วนักวิเคราะห์มักจะมองว่าคลื่นลูกที่ 5 หรือคลื่นสุดท้ายนี้จะมีลักษณะเป็นการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง (Blowoff) โดยใช้หลักการว่า เนื่องจากเป็นคลื่นลูกสูดท้ายที่นักลงทุนเชื่อมั่นในตลาดอย่างสูงสุด ลักษณะความแข็งแกร่งของตลาดจะสังเกตได้จากการปรับราคาขึ้นของหุ้นเก็งกำไร นักลงทุนจะรู้ว่าระลอกคลื่นที่กำลังอยู่นี้เป็นระลอกคลื่นสุดท้ายหรือไม่ ให้ดูจากหุ้นเป็นตัวนำตลาดในขณะนั้นว่าเป็นชนิดใด ถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไรเป็นส่วนใหญ่ ก็สามารถสรุปได้เลยว่า คลื่นลูดสุดท้ายได้มาถึงแล้ว
Wave A: เป็นระลอกคลื่นลง Wave แรก ในตลาดแนวโน้มขาลง (Bear Market) ส่วนใหญ่นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นในตลาด และคิดว่าการปรับตัวนี้เป็นการเตรียมานสำหรับการรวมตัวทีี่จะขึ้นไปใหม่ นักลงทุนส่วนมากจะเข้ารับซื้อหุ้นในราคาปรับตัวนี้ แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณบ้างแล้วว่า ราคาหุ้นบางตัวมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากแนวโน้มสำคัญ การปรับตัวของ Wave นี้ จะบอกถึงทิศทางแลกลักษณะของ Wave B ที่กำลังจะก่อตัวขึ้น
Wave B: การขึ้นของราคาหุ้นใน Wave นี้ จะเป็นลักษณะ "หลอก" แม้กระนั้นก็ทำให้นักลงทุนหลายคนหลงผิดเขามาซื้อหุ้นในระดับราคานี้เป็นส่วนใหญ่ ราคาหุ้นที่ขึ้นใน Wave B นี้ จึงเกิดจากการใช้อารมณืมากหว่าเหตุผล แรงผลักดันจึงขาดปัจจัยพื้นฐาน และไม่มีกำลังเพียงพอที่จะหยุดยิ้งการโต้กลับของระลอกคลื่นลูกต่อมา
Wave C: เป็นระลอกคลื่นที่มีการปรับตัวอย่างรุนแรง ความเชื่อมั่นในตลาดที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวของนักลงทุนหมดสิ้นลงทันที และอย่างรวดเร็ว

สรุป Elliott Wave
Up trend : มี 5 คลื่น
Down trend: มี 3 คลื่น

ขาขึ้น:
Wave 1: คือ การสร้างฐาน นักลงทุนยยังไม่มั่นใจ
Wave 2: คือ การปรับฐาน เพราะความไม่มั่นใจ (ราคาอาจถดถอยไปเกือบถึงฐานของ Wave 1)
Wave 3: คือ ความมั่นใจ ราคาขึ้นเพราะปัจจัยพื้นฐานดี (สำคัญ เพราะราคาจะวิ่งขึ้นแรง)
Wave 4: คือ การปรับฐาน แต่ยังมั่นใจอยู่
Wave 5: คือ ความโลภ (หุ้นเก็งกำไรครองตลาด)

ขาลง
Wave A: คือ นักลงทุนยังมีความมั่นใจแต่ราคาหุ้นเริ่มเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงแล้ว
Wave B: คือ คลื่นหลอก ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ขาดปัจจัยพื้นฐาน
Wave C: คือ ความตื่นตระหนก และความกลัว

Reference: หนังสือ วิเคราะห์หุ้น ของ คุณ เอก พิทยา เอี่ยมคงเอก

วันเสาร์, กรกฎาคม 24, 2553

Bull & Bear Market




Bull markets are characterized by optimism, investor confidence and expectations that strong results will continue. It's difficult to predict consistently when the trends in the market will change. Part of the difficulty is that psychological effects and speculation may sometimes play a large role in the markets. ดัชนีตลาดหุ้นกำลังพุ่งขึ้นเรื่อยๆ "กระทิง" คือคนที่คิดว่า ราคาทรัพย์สินจะเพิ่มขึ้น เเกิดในกรณีของตลาดหุ้นขาขึ้นที่วอลุ่มเพิ่ม & มาร์เก็ตแชร์พุ่งจึงเป็นตลาดกระทิง อยู่ในภาวะที่ราคาหลักทรัพย์โดยทั่วไปมีระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลายาวนานไม่น้อยกว่า 2-3 เดือน และมีปริมาณการซื้อขายที่มาก มีสภาพคล่องสูง
Bear market should not be confused with a correction, which is a short-term trend that has a duration of less than two months. While corrections are often a great place for a value investor to find an entry point, bear markets rarely provide great entry points, as timing the bottom is very difficult to do. Fighting back can be extremely dangerous because it is quite difficult for an investor to make stellar gains during a bear market unless he or she is a short seller.ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงเรื่อยๆ และซึมๆ นิ่งๆ "หมี" คือคนที่คิดว่าราคาทรัพย์สินจะลดลง ดังนั้นในกรณีของตลาดหุ้นขาลงซึมยาวจึงเป็นตลาดหมี อยู่ในภาวะตลาดหุ้นที่ราคาหลักทรัพย์โดยทั่วไปมีระดับที่ลดต่ำลงอย่างต่อ เนื่องเป็นเวลายาวนาน และปริมาณการซื้อขายก็มีน้อย

วันจันทร์, กรกฎาคม 12, 2553

THE BUFFETT APPROACH TO INVESTMENT

1. Never follow the day to day fluctuations of the stock market.
The market only exists to make it easier to buy and sell, not to set values. Keep an eye on the market only for someone who
is willing to sell a stock at a not-to-be-missed price.
2. Don’t try and analyze or worry about the general economy.
If you can’t predict what the stock market will do from day to day, how can you reliably predict the fate of the economy?
3. Buy a business, not its stock.
Treat a stock purchase as if you were buying the entire business, using the following tennets:
Business Tennets
1. Is the business simple and understandable from your perspective as an investor?
2. Does the business have a consistent operating history?
3. Does the business have favourable long-term prospects.
Management Tennets
1. Is management rational?
2. Is management candid with its shareholders?
Financial Tennets
1. Focus on return on equity, not earnings per share.
2. Calculate "Owner Earnings".
3. Search for companies with high profit margins.
4. For every dollar of retained earnings, has the company created at least one dollar’s extra market value?
Management Tennets
1. What is the value of the business?
2. Can the business currently be purchased at a significant discount to its value?
4. Manage a portfolio of businesses.
Intelligent investing means having the priorities of a business owner (focused on long-term value) rather than a stock trader
(focused on short-term gains and losses).

สิบกฎเหล็กการลงทุนของแม่ทัพสุมาอี้4

นั่งสรุปหลักการลงทุนที่ผมยึดถือมาให้อ่านกันแล้วครับ นึกได้แค่ 10 ข้อก่อน ที่จริงอยากเรียกว่า personal biases มากกว่า ไม่อยากเรียกว่าหลักการลงทุนเท่าไร

1. ซื้อก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูลจนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้นต่ำ กว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่า นั้น ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังกำไร (กฎข้อนี้สำคัญมากห้ามผ่าฝืนเด็ดขาด) …
นั่งสรุปหลักการลงทุนที่ผมยึดถือมาให้อ่านกันแล้วครับ นึกได้แค่ 10 ข้อก่อน ที่จริงอยากเรียกว่า personal biases มากกว่า ไม่อยากเรียกว่าหลักการลงทุนเท่าไร

1. ซื้อก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูลจนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้นต่ำ กว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่า นั้น ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังกำไร (กฎข้อนี้สำคัญมากห้ามผ่าฝืนเด็ดขาด)

2. ทิศทางของราคาหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางทำนายได้ อย่าพยายามทำกำไรด้วยการ BLASH การเทรดหุ้นทุกวันเปรียบเสมือนการกระโจนเข้าใส่เครื่องบดเนื้อ

3. ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บริษัทและอุตสาหกรรมให้มากที่สุด ไม่ต้องให้ความสำคัญกับการทำนายทิศทางเศรษฐกิจมหภาค เรือทุกลำต้องเผชิญพายุเหมือนกันหมด จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุดแทนที่จะพยายามคาดเดาว่าพายุจะมาเมื่อไร

4. ราคาหุ้นไม่มีความสัมพันธ์กับกำไรในปัจจุบันแต่จะวิ่งไปตามความเชื่อของตลาด ว่าพรุ่งนี้กำไรของบริษัทจะเป็นเท่าไร หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี แต่หุ้นที่ขึ้นคือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีในวันนี้แต่กำลังจะดีขึ้นวัน หน้าหรือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีอยู่แล้วและจะดีขึ้นไปอีก

5. หุ้นบูลชิพที่เติบโตช้า แม้ downside จะต่ำ -20% แต่ upside ก็ต่ำด้วย +20% หุ้นเติบโตสูงจึงน่าลงทุนมากกว่าเพราะแม้ว่า downside ของมันอาจจะมากถึง -100% แต่ upside ของมันไม่มีขีดจำกัด (อาจเป็น 200% 500% 1000%…) พอร์ตที่มีหุ้นเติบโตสูงหลายๆ ตัวแม้จะผันผวนมากกว่าแต่จะวิ่งได้ไกลกว่าพอร์ตที่เต็มไปด้วยหุ้นบูลชิพใน ระยะยาวๆ

6. อย่าให้ความสำคัญกับ dividend yield มากนัก เพราะไม่มีกฎว่าบริษัทต้องจ่ายเงินปันผลเท่าเดิมทุกปี จงสนใจว่าบริษัทเอา retained earnings ไปลงทุนทำอะไรมากกว่า มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบริษัทลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบ แทนที่คุ้มค่าเท่านั้น

7. หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับการเสี่ยงมากที่สุด อย่าเสียเวลาคิดว่าควรแบ่งเงินไปลงตราสารหนี้เท่าไรหุ้นเท่าไร เงินส่วนใหญ่ของคุณควรอยู่ในหุ้นกับเงินสดตลอดเวลา อย่ากลัว market crash เพราะในระยะยาวๆ ไม่มีตลาดหุ้นไหนในโลกที่ไม่สามารถกลับมาสูงกว่าจุดสูงสุดเดิมได้ เพราะเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมโตต้องขึ้นเรื่อยๆ

8. จงละเลยหุ้นที่มีประวัติเรื่องเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือมีพฤติกรรมดูแลราคาหุ้นแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่าบริษัทเหล่านั้นมิได้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์

9. โอกาสในตลาดหุ้นไม่ได้มีมากขนาดหาได้ทุกวันมิฉะนั้นผู้คนคงเลิกทำงานประจำ บริษัทคงเลิกนำเงินไปลงทุนนอกตลาด ในบรรดาหุ้น 20 ตัวที่คุณอยากซื้อในหนึ่งปี จงใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ซื้อแค่ 1-2 ตัวที่คุณคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดใน 20 ตัวนั้น คุณจะพบว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการแบ่งเงินออกเป็น 20 ส่วนเพื่อซื้อทั้ง 20 ตัว

10. นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จร้อยทั้งร้อยมีความคิดที่เป็นอิสระ ถ้าคุณจอดรอไฟแดงอยู่ที่สี่แยกที่ไม่มีรถวิ่งอยู่ แต่รถคันหลังรุมกดดันคุณด้วยการบีบแตรไล่ให้คุณวิ่งออกไปเลย ถ้าคุณไม่สนใจแรงกดดันนั้นและรอจนไฟเขียวจึงค่อยไป คุณมีแนวโน้มที่จะเล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จครับ

New buffettology

1. ให้แยกหุ้นในตลาดให้ออกว่าหุ้นตัวไหน เป็นหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น SSC OHTL

2. ให้รู้ให้ได้จากประวัติศาสตร์ ว่าความได้เปรียบในการแข่งขันนั้นอยู่ได้นานแค่ไหน เช่น SSC อยู่มานาน 50 ปี OHTL 126 ปี

3. เมื่อดูทั้งตลาดแล้ว เจอหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่อยู่มานาน หมายถึงกิจการที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าสามารถผ่านร้อนผ่านหนาว มาได้หลายหนาว สมมุติทั้งตลาด มี 20 ตัว จาก 400 ตัว

4. โดยปกติหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยาวนาน มักจะมี EPS ในลักษณะที่ค่อยๆโตขึ้น อย่างต่อเนื่อง เป็น 10 ปี

5. คำนวณหา EPS ในอีก 10 ปีข้างหน้า เช่น EPS ย้อนหลัง 10 ปี ที่ผ่านมาโต 15 % เราก็สามารถคำนวณ EPS ในอนาคตได้ เช่น EPS ปี 45 เท่ากับ 2 EPS ปี 55 จะเท่ากับเท่าไร ก็สามารถคำนวณได้

N = 10 , I = 15 , PV = 2 , FV = ? FV = 8.09

6. เมื่อได้ EPS ในอนาคต ก็ประมาณดูว่า PE ในอนาคตน่าจะเท่าไร ตรงนี้ต้องสมมุติ ถ้าจะให้ปลอดภัยลองสมมุตเท่ากับปัจจุบัน

สมมุติปัจจุบันเท่ากับ 10 เราก็สมมุตอนาคตเท่ากับ 10

7. ราคาในอนาคตเท่ากับ P = 8.09 x 10 เท่ากับ 80.90

8. เมื่อเราประมาณว่าหุ้นของเราราคาอีก 10 ปีเท่ากับ 80.90

9. เราก็สามารถดิสเค๊ากลับมาเป็นราคาที่น่าซื้อในปัจจุบันได้

10. เช่นสมมุติว่าเราต้องการผลตอบแทน 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี

11. เราก็คำนวณราคาปัจจุบันที่น่าซื้อได้เท่ากับ

N = 10 , I = 20 , FV = 80.90 , PV = ? PV = 13.07

12. นั้นหมายความว่าราคาปัจจุบันที่ทำให้เราสามารถทำกำไร 20 % ต่อปี เท่ากับ 13.07

13. แต่สมมุติว่าราคาปัจจุบัน เท่ากับ 15.00 แล้วเราซื้อไว้

14. เราก็จะได้รับผลตอบแทน

N = 10 PV = 15.00 FV = 80.90 I = ? I = 18.35 %

15. ราคาที่เราซื้อจะหมายถึงกำไรที่เราจะได้รับในอนาคต ถ้าเราซื้อแพง กำไรก็น้อย ถ้าซื้อถูกกำไรก็มาก

16. วอเรนจึงแนะนำให้ซื้อตอนข่าวร้าย

17. และเขาไม่แนะนำให้เกี่ยวข้องกับข่าวดี

18. แต่ถ้าเราเลือกหุ้นผิดแล้วเราไปซื้อตอนข่าวร้าย ก็ขายไม่ต้องรอ

วันเสาร์, กรกฎาคม 10, 2553

Where Do Goal>Plan>DISCIPLINES>>Successful come from?

Goal:Objective or target.
Plan: In perspective rendering, one of several imaginary planes perpendicular to the line of vision between the viewer and the object being depicted. A systematic arrangement of elements or important parts; a configuration or outline.
DISCIPLINES : self-control. Control obtained by enforcing compliance.
Successful: The result by Goal, plan and Disciplines. Having a favorable outcome.